วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มาตรฐานสินค้า CE, FCC, UL, RoHs


CE มาจากคำในภาษาอังกฤษ คือ “European Conformity” เดิมทีใช้เครื่องหมาย EC แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นเครื่องหมาย CE อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2536 เครื่องหมาย CE ที่ปรากฏอยู่บนสินค้า เป็นเครื่องหมายที่แสดงการรับรองจากผู้ผลิต (Manufacturer’s Declaration) ว่าสินค้านั้น มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของสหภาพยุโรป การมีเครื่องหมาย CE กำกับบนสินค้าจะทำให้สินค้านั้นสามารถวางจำหน่าย และสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีในเขตเศรษฐกิจยุโรป หรือ European Economic Area (EEA) ยกเว้นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยสมาชิกแต่ละประเทศจะดำเนินการออกกฎหมายภายในประเทศให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของสหภาพยุโรป หรือ EC Directives ที่ เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องหมาย CE





FCC ย่อมาจาก Federal Communications Commission (คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร) องค์กรนี้เป็นตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯ ที่วางระเบียบให้แก่อุปกรณ์ประเภทวิทยุ โทรทัศน์ ผู้ให้บริการการสื่อสารระหว่างรัฐ และงานให้บริการระหว่างประเทศที่อยู่ในสหรัฐฯ รวมทั้งคอมพิวเตอร์ที่ผลิตสัญญาณความถี่วิทยุ ซึ่งจะไปรบกวนการส่งกระจายทางธุรกิจ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต้องได้รับการรับรองจาก FCC ก่อนที่จะนำไปขายในสหรัฐฯ เพื่อให้ตรงกับข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับการเป็นตัวนำและการกระจายคลื่นวิทยุ FCC จะแบ่งเครื่องคอมพิวเตอร์เป็น 2 ประเภท คือ Class A (ใช้ในงานอุตสาหกรรมหรือด้านธุรกิจ) และ Class B (ใช้งานในบ้าน)




UL ห้องปฏิบัติการที่รับประกัน หรือ Underwriters' Laboratories Inc. เป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไร และรับรองความปลอดภัยของสินค้า ได้เริ่มทดสอบสินค้าและเขียนมาตรฐานความปลอดภัยกว่า 100 ปีตั้งแต่ปี 1894
UL ได้ประเมินสินค้า, ชิ้นส่วน, วัสดุ และระบบ โดยมีมาตรฐานไม่น้อยกว่า 1200 มาตรฐาน ภารกิจของ UL คือการสนับสนุนให้มีความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยโดยการใช้วิทยาศาสตร์ด้านความปลอดภัยและวิศวกรรมเกี่ยวกับความปลอดภัย ซึ่งครอบคุม ผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องมือทางการแพทย์ เครื่องมือป้องกันอัคคีภัย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยาง สายไฟฟ้า พลาสติก ซึ่งมีศูนย์ตรวจสอบ 127 แห่ง , มีห้องปฏิบัติการ 66 แห่ง , อุปกรณ์ในการทดสอบและรับรอง และเจ้าหน้าที่จำนวน 6,200 คน




RoHS ย่อมาจาก Restriction of Hazardous Substances เป็นข้อกำหนดที่ 2002/95/EC ของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นมาตรฐานเพื่อสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยเรื่องของการใช้สารที่เป็นอันตรายในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหมายความรวมถึงเครื่องใช้ทุกชนิด ที่ต้องอาศัยไฟฟ้าในการทำงาน เช่น โทรทัศน์ เตาอบไมโครเวฟ วิทยุ เป็นต้น ซึ่งหมายความว่า ชิ้นส่วนทุกอย่างที่ประกอบเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ตั้งแต่แผงวงจร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงสายไฟ จะต้องผ่านตามข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี2006 แต่ในประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอมริกา ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ก็เริ่มที่จะกำหนดข้อบังคับในลักษณะนี้เช่นกัน ในอนาคต ข้อกำหนดนี้ก็คงจะแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วโลก โดยสารที่จำกัดปริมาณในปัจจุบัน กำหนดไว้ 6 ชนิด ดังนี้

1.ตะกั่ว (Pb) ไม่เกิน 0.1% โดยน้ำหนัก
2.ปรอท (Hg) ไม่เกิน 0.1% โดยน้ำหนัก
3.แคดเมียม (Cd) ไม่เกิน 0.01% โดยน้ำหนัก
4.เฮกซะวาเลนท์ (Cr-VI) ไม่เกิน 0.1% โดยน้ำหนัก
5.โพลีโบรมิเนต ไบเฟนนิลส์ (PBB) ไม่เกิน 0.1% โดยน้ำหนัก
6.โพลีโบรมิเนต ไดเฟนนิล อีเธอร์ (PBDE) ไม่เกิน 0.1% โดยน้ำหนัก

แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับอุปกรณ์บางอย่าง ที่ยังไม่สามารถใช้สารอื่นมาทดแทนได้ หรือสารที่ใช้ทดแทน มีอันตรายมากกว่า เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งมีสารปรอทเป็นส่วนประกอบ ตะกั่วในเหล็กอัลลอย นอกจากนี้ เครื่องมือด้านการแพทย์ และการทหาร ก็อยู่ในข้อยกเว้น


เลือกใช้อุปกรณ์ Pb-Free
สำหรับนักอิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นผู้ออกแบบวงจร สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่เป็น Pb-Free หรือ RoHS ได้ โดยผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกยี่ห้อ มักจะผลิตอุปกรณ์รุ่นที่เป็น Pb-Free ออกมาทดแทนอุปกรณ์รุ่นเก่า โดยอาจจะเพิ่มตัวอักษรเช่น ‘G’ เข้าไปใน Part Number แต่ยังคงมีมีฟังก์ชันการทำงานเหมือนกัน สามารถใช้แทนกันได้ สิ่งที่แตกต่างจากเดิมก็คือ อุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถทนความร้อนสูงที่ใช้ในการะบวนการประกอบแผงวงจรได้ เนื่องจากสารที่ใช้เชื่อม (ตะกั่ว) ที่เป็นแบบ Pb-Free นี้ จะมีจุดหลอมเหลวที่สูงขึ้นกว่าแบบที่ไม่เป็น Pb-Free แต่สำหรับท่านที่ซื้ออุปกรณ์ที่เป็น Pb-Free มาแล้ว แต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผ่านข้อกำหนดดังกล่าว สามารถบัดกรีด้วยตะกั่วแบบธรรมดาได้ ซึ่งจะบัดกรีง่าย และสวยงามกว่า เนื่องจากตะกั่วธรรมดาจะละลายง่าย และมีความเงางามมากกว่าตะกั่วแบบ Pb-Free


วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตะกั่ว กับปรอท ใครแน่กว่ากัน


ปรอท เป็นโลหะที่ระเหยเป็นไอได้ง่ายและมีพิษต่อมนุษย์มาก ไอปรอทสามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ดี สารปรอทเป็นสาเหตุของโรค มินามาตะ
อาการ: คออักเสบ,ลำไส้อักเสบ,อาเจียน,ไตอักเสบ, ตับอักเสบ, ถ้าสะสมในร่างกายปริมาณมากจะทำลายตับและระบบ ประสาททำให้หงุดหงิดขี้อาย, ตัวสั่น, มีความถดถอยในส่วนของการได้ยิน,การมองและความจำ นอกจากนี้ยังจะไปทำอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งได้แก่ สมอง และไขสันหลัง ทำให้เสียการควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแขน ขา การพูด และยังทำให้ระบบประสาทรับความรู้สึกเสียไป




ตะกั่ว เป็นโลหะหนักที่มีลักษณะอ่อนทำให้หลอมเหลวได้ง่าย ภาวะตะกั่วเป็นพิษเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย อาการของตะกั่วเป็นพิษเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะหลายระบบ และคล้ายกับอาการของโรคอื่นๆ ดังนั้นถ้าแพทย์ไม่ได้นึกถึงทำให้การวินิจฉัยผิดพลาด ซึ่งมักเกิดขึ้นเสมอ ตะกั่วเป็นสารที่พบปนเปื้อนทั่วไป สำหรับประชาชนโดยทั่วไปอาจได้รับตะกั่วจากอากาศ
อาการ: ผู้ป่วยอาจจะมีอาการ nonspecific เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร และท้องผูก อาการทางระบบประสาทส่วนปลาย กล้ามเนื้อกระตุก การสร้าง sperm มีโอกาสเป็นหมัน นอกจากนี้ตะกั่วมีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบเลือด ระบบทางเดินอาหาร และการทำงานของไต

การเลือกอุปกรณ์ให้ความสว่าง

หลอดไฟฟ้าที่มีใช้กันอยู่มีหลายชนิดด้วยกัน (ฟลูออเรสเซ็นต์,นีออนไลท์, แอลอีดี, เมทัลฮาไลด์ เป็นต้น)หลอดแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติทางแสงและทางไฟฟ้าต่างกัน ในการเลือกหลอดเพื่อการประหยัดพลังงานไฟฟ้า ต้องเลือกหลอดที่มีประสิทธิผล (ลูเมนต่อวัตต์) สูง อายุการใช้งานนาน และคุณสมบัติทางแสงของหลอดด้วย แต่งานบางอย่างก็ต้องเลือกใช้หลอดที่ไม่ประหยัดพลังงาน ฉะนั้นการนำหลอดไปใช้งานต้องพิจารณาความเหมาะสมในการนำไปใช้

การเลือกใช้อุปกรณ์ให้ความสว่าง หรือหลอดไฟฟ้าเพื่อใช้งานต้องพิจารณาหลายๆองค์ประกอบร่วมกันดังนี้
1 ค่าฟลั๊กซ์การส่องสว่าง (Luminous flux) หมายถึง ปริมาณแสงสว่าง หน่วยเป็นลูเมน
2 ค่าประสิทธิผล (Efficiency) หมายถึง ปริมาณแสงที่ออกมาต่อวัตต์ที่ใช้ (ลูเมนต่อวัตต์) หลอดที่มีค่าประสิทธิผลสูงหมาย ความว่าหลอดนี้ให้ปริมาณแสงออกมามากแต่ใช้วัตต์ต่ำ
3 ความถูกต้องของสี (Color rendering) หมายถึง สีที่ส่องไปถูกวัตถุให้ความถูกต้องสีมากน้อยเพียงใด มีหน่วยเป็น เปอร์เซนต์ หลอดที่มีค่าความถูกต้อง 100% หมายความว่าเมื่อใช้หลอดนี้ส่องวัตถุชนิดหนึ่งแล้วสีของวัตถุที่เห็นไม่มีความเพี้ยนของสี
4 อุณหภูมิสี (Color temperature) หมายถึง สีของหลอดเทียบได้กับสีที่เกิดเนื่องจากการเผาวัตถุดำอุดมคติให้ร้อนที่อุณหภูมินั้น เช่น หลอดอินแคนเดสเซนต์มีอุณหภูมิสีประมาณ 3000 องศาเคลวิน
5 มุมองศาในการใช้งานหลอด (Burning position) หมายถึง มุมองศาในการใช้งานหลอด สำหรับการติดตั้งหลอดตามคำแนะนำของผู้ผลิต
6 อายุการใช้งาน (Life time) หมายถึงอายุการใช้งานของหลอดโดยเฉลี่ยของหลอด หน่วยเป็นชั่วโมง

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

ใครว่า นีออนไลท์ไม่มันส์

ในวีดีโอตัวอย่างเป็นการใช้เครื่องควบคุมการวิ่งกับหลอดนีออนไลท์

แอลอีดี คืออะไร

อ้างอิงจากบทความ ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ 26 สิงหาคม 2550 18:07 น


มนุษย์ได้ประดิษฐ์ตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างมาตั้งแต่สมัยโบราณ ต่อมาได้พัฒนาเทคโนโลยีไปสู่การให้แสงสว่างในรูปเทียนไข จากนั้นมีความก้าวหน้าครั้งสำคัญเมื่อมีการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าแบบใช้ขดลวด หลอดนีออน และหลอดฟลูออเรสเซนต์ สำหรับในยุคปัจจุบัน โลกกำลังก้าวสู่เทคโนโลยีใหม่ คือ ไดโอดเรืองแสง (Light Emitting Diode - LED)

LED นับเป็นอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์แบบหนึ่งที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านและจะปล่อยแสงสว่างออกมา ความจริงแล้ว LED ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด โดยนักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตมาตั้งแต่ปี 2450 ว่าเซมิคอนดักเตอร์จะเปล่งแสงออกมาเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน อย่างไรก็ตาม แสงที่เปล่งออกมามีปริมาณน้อยมาก จึงทำให้เทคโนโลยีนี้ไม่ได้รับความสนใจ

การนำเทคโนโลยี LED มาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อนาย Nick Holonyak นักวิจัยแห่งบริษัท GE ประสบผลสำเร็จเมื่อปี 2505 ในการประดิษฐ์ LED ที่สามารถเปล่งแสงสีแดงที่มีความสว่างออกมามากเพียงพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้ทั่วโลกเริ่มมีการตื่นตัววิจัยและพัฒนาในด้านนี้อย่างจริงจัง

อย่างไรก็ตาม LED ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาในช่วงนั้นยังเปล่งแสงสว่างน้อยมาก จึงไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในรูปให้แสงสว่างแต่อย่างใด ส่วนใหญ่นำไปใช้เป็นปุ่มสัญญาณแสงสีต่างๆ ในอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้นว่า หลอด LED ขนาดเล็กเท่าหัวเข็มหมุด ได้ติดตั้งในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้สัญญาณว่าเครื่องกำลังเปิดหรือปิด

เดิมแสงจาก LED จะเป็นสีต่างๆ ไม่ได้เป็นสีขาว จึงมีข้อจำกัดในการนำมาให้แสงสว่างแทนหลอดไฟ สำหรับบุคคลสำคัญที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ คือ นาย Shuji Nakamura แห่งบริษัท Nichia Chemical ของญี่ปุ่น ได้ประสบผลสำเร็จในการประดิษฐ์ LED สีน้ำเงินที่มีความสว่างจ้า จากนั้นได้นำ LED สีน้ำเงินไปเคลือบด้วยสารเคลือบเรืองแสงสีเหลือง จะทำให้แสงจาก LED ที่ออกมากลายเป็นสีขาว สามารถนำไปใช้ในรูปให้แสงสว่าง โดยได้เริ่มวางตลาด LED สีขาวนับตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา

ปัจจุบันจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เทคโนโลยีของ LED ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วตามไปด้วย ได้มีการนำ LED มาใช้ประโยชน์แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในเครื่องคิดเลข สัญญาณจราจร ไฟท้ายรถยนต์ ป้ายสัญญาณต่างๆ ไฟฉาย ไฟให้สัญญาณของประภาคาร จอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น หน้าจอ LCD ของโทรศัพท์มือถือที่เราใช้กันทั่วไป เกือบทั้งหมดจะให้แสงสว่างด้วย LED

สำหรับในอนาคต จะนำแสงสว่างจาก LED ไปใช้ในเครื่องบิน โดยสายการบิน Qantas Airways ของออสเตรเลีย ได้เริ่มติดตั้งหลอด LED ไปใช้ในห้องโดยสารชั้น 1 โดยจะเปิดหลอด LED สีน้ำเงินเข้มในเวลาที่ผู้โดยสารพักผ่อนนอนหลับ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทโบอิ้งวางแผนจะติดตั้งหลอด LED เพื่อตกแต่งภายในห้องโดยสารของเครื่องบินโบอิ้ง 787 ที่มีฉายาว่า Dreamliner ที่กำหนดจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้

ขณะเดียวกันรัฐบาลประเทศต่างๆ ได้ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก LED เพื่อลดการใช้พลังงาน เป็นต้นว่า กระทรวงเศรษฐกิจของไต้หวันยังประกาศเมื่อเดือนเมษายน 2550 ว่าลงทุน 2,100 ล้านเหรียญไต้หวัน เพื่อจะเปลี่ยนไฟสัญญาณจราจรทั่วประเทศมาเป็นการใช้ LED ทั้งหมด ภายใน 3 ปี ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตจะเปลี่ยนไฟที่ให้แสงสว่างแก่ถนนมาเป็น LED เช่นเดียวกัน

จากการนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย ทำให้ปัจจุบันตลาด LED แบบที่มีแสงสว่างสูง ได้เติบโตอย่างรวดเร็วจาก 122 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2538 เป็น 3,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2548 และคาดว่าในอนาคตเติบโตขึ้นในอัตราสูงถึงปีละ 25% โดยสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่ง คือ 52% ได้นำไปใช้ในการให้แสงสว่างแก่จออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบเคลื่อนที่ เช่น จอโทรศัพท์มือถือ จอของกล้องดิจิตอล ฯลฯ รองลงมา คือ ใช้ในป้ายและจอภาพขนาดใหญ่ 14% ใช้ในรถยนต์ 14%

ญี่ปุ่นครองตลาด LED มากเป็นอันดับ 1 ของโลก รองลงมา คือ ไต้หวัน โดยหากรวมปริมาณการผลิตของ 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่นและไต้หวัน จะมีส่วนแบ่งตลาดโลกรวมกันมากถึง 2 ใน 3 สำหรับผู้นำในธุรกิจ LED คือ บริษัท Nichia ของญี่ปุ่น บริษัท Toyoda Gosei ของญี่ปุ่น และบริษัท Cree ของสหรัฐฯ

สำหรับข้อดีของ LED มีหลายประการ

ประการแรก LED ยังมีประสิทธิภาพการให้พลังงานแสงสว่างที่ระดับสูงถึง 70 ลูเมน/วัตต์ สูงกว่าหลอดไฟฟ้าแบบขดลวดที่มีประสิทธิภาพที่ระดับ 15 ลูเมน/วัตต์ แม้ประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างของหลอด LED ในปัจจุบันจะต่ำกว่าหลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงถึง 80 - 100 ลูเมน/วัตต์ อย่างไรก็ตาม แสงสว่างของหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์จะแพร่ออกไปทุกทิศทาง ทำให้สูญเปล่าจำนวนมาก ขณะที่แสงสว่างของ LED จะส่องไปเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น ดังนั้น ประสิทธิภาพของ LED ที่ระดับ 70 ลูเมน/วัตต์ จึงนับมีมากกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ระดับ 100 ลูเมน/วัตต์

ยิ่งไปกว่านั้น LED ก้าวหน้าเร็วมาก ทำให้มีแนวโน้มว่าจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาประสิทธิภาพของ LED เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 5 ลูเมน/วัตต์ ในปี 2539 เป็น 50 ลูเมน/วัตต์ ในปี 2546 และเพิ่มขึ้นเป็น 70 วัตต์/ลูเมน ในปี 2547 ล่าสุดบริษัท Nichia ได้ประกาศเมื่อปลายปี 2549 ว่าประสบผลสำเร็จในด้านวิจัยและพัฒนา LED ต้นแบบที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 150 ลูเมน/วัตต์

ประการที่สอง หลอดฟลูออเรสเซนต์จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากภายในบรรจุไอของปรอท ขณะที่หลอดไฟ LED มีผลกระทบน้อยกว่า

ประการที่สาม สามารถควบคุมคุณภาพของแสงให้ปล่อยออกมาได้ ดังนั้น จึงนำไปใช้ประโยชน์ในการให้แสงสว่างในสถานที่สำคัญ เป็นต้นว่า พิพิธภัณฑ์ลูฟของกรุงปารีส ได้ใช้แสงจาก LED ในการให้แสงสว่างต่อภาพเขียนโมนาลิซ่า เนื่องจากสามารถควบคุมแสงสว่างจาก LED ไม่ให้มีส่วนผสมของแสงที่เป็นอันตรายต่อภาพเขียน เช่น แสงอินฟราเรด แสงอัลตราไวโอเลต ฯลฯ

ประการที่สี่ จากการที่ LED ปล่อยความร้อนออกมาน้อยมาก ทำให้อาคารลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในส่วนเครื่องปรับอากาศ ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้นไปอีก

ประการที่ห้า อายุการใช้งานของหลอด LED ยาวนานถึง 100,000 ชั่วโมง หรือ 11 ปี (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30,000 - 45,000 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับ สภาพภูมิอากาศ แสงแดด ความชื้น และการติดตั้ง จากประสบการณ์ของผู้เขียน) เปรียบเทียบกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ซึ่งมีอายุใช้งาน 30,000 ชั่วโมง (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10,000 - 20,000 จากประสบการณ์ของผู้เขียน)

ประการที่หก หลอด LED ยังมีความทนทานต่อการสั่นสะเทือนมากกว่า จึงเหมาะสมสำหรับติดตั้งในเครื่องบินหรือรถยนต์ นอกจากนี้ หลอด LED ไม่เปราะบางเหมือนกับหลอดไฟฟ้าแบบขดลวดหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ บางครั้งแม้ถูกทุบตีอย่างแรง ก็ยังสามารถใช้งานได้

ประการที่เจ็ด หลอด LED เหมาะสำหรับหลอดไฟที่ต้องการให้เปิดปิดบ่อยครั้ง เนื่องสามารถเปิดปิดบ่อยๆ โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และเมื่อเปิดหลอดไฟ จะให้ความสว่างโดยทันที นับว่าแตกต่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่หากเปิดปิดบ่อยครั้งจะเสียง่าย หรือหลอด HID ซึ่งเมื่อเปิดสวิชต์แล้ว จะใช้เวลาช่วงหนึ่งกว่าจะให้แสงสว่างออกมา

แม้ปัจจุบันมีการนำ LED ไปใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย แต่กลับยังไม่ได้นำมาใช้แพร่หลายเพื่อให้แสงสว่างภายในบ้าน เนื่องจากมีข้อจำกัดสำคัญ คือ ยังไม่สามารถผลิต LED ที่เปล่งแสงสีขาวโดยแท้จริงได้ โดยปัจจุบันมี 2 วิธี ที่นำมาใช้เพื่อผลิต LED ที่เปล่งแสงสีขาวโดยทางอ้อม

วิธีแรก นับเป็นวิธีการที่นิยมใช้มากที่สุดและง่ายที่สุด คิดค้นโดยบริษัท Nichia เมื่อปี 2539 คือ การเคลือบ LED สีน้ำเงินด้วยสารเรืองแสงสีเหลือง อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของวิธีการนี้ คือ ก่อให้เกิดการสูญเสียพลังงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างลดลง

วิธีที่สอง นับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงกว่า คือ การนำแสงสีแดง เขียว และน้ำเงิน มาผสมกันให้พอเหมาะเพื่อให้เป็นสีขาว ซึ่งมีข้อดี คือ นอกจากผสมกันเป็นสีขาวแล้ว ยังสามารถผสมสีออกมาเป็นสีต่างๆ ได้ตามต้องการ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของวิธีการนี้ คือ มีความยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูงในการบำรุงรักษาเนื่องจากจะต้องมีหลอด LED จำนวนมาก

สำหรับข้อจำกัดอีกประการหนึ่ง คือ ราคาหลอด LED สีขาวยังแพงกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์อยู่มาก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ LED ได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญได้คาดหมายว่าภายในปี 2553 ต้นทุน LED สีขาวจะใกล้เคียงกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งจะทำให้ตลาด LED ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

อนึ่ง ความจริงแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องลดต้นทุนการผลิต LED ให้มาอยู่ที่ระดับเดียวกันกับหลอดฟลูออเรสเซนต์แต่อย่างใด แม้ราคาหลอด LED จะแพงกว่า แต่การติดตั้งอุปกรณ์ LED จะง่ายกว่าการติดตั้งหลอดฟลูออเรสเซนต์ซึ่งต้องมีอุปกรณ์เสริมจำนวนมาก ดังนั้น หากราคา LED สูงกว่าราคาหลอดฟลูออเรสเซนต์ไม่มากนักแล้ว ต้นทุนรวมในการติดตั้งหลอด LED จะต่ำกว่า

จากข้อจำกัดในการผลิต LED สีขาวดังกล่าวข้างต้น ทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อทำลายข้อจำกัดนี้ เป็นต้นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สนับสนุนเงินในด้านวิจัยและพัฒนาในโครงการ Next Generation Lighting Initiative โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประสิทธิภาพของ LED สีขาวเพิ่มเป็น 3 เท่า ภายในปี 2568 ซึ่งหากประสบผลสำเร็จและมีการนำ LED มาให้แสงสว่างอย่างแพร่หลายแล้ว จะทำให้ทั่วโลกประหยัดพลังงานไฟฟ้าจำนวนมากมาย

ผลของขนาดความสูงตัวหนังสือกับการมองเห็น


อ้างอิงจาก ข้อมูลของบริษัท เจริญทรัพย์ ไซน์เทรดดิ้ง จำกัด

ในการออกแบบป้าย นอกจากต้องการสื่อให้รู้ว่าต้องการสื่ออะไร และความสวยงานในการออกแบบ นอกจากนี้การเลือกขนาด และความสูงของตัวอักษรของข้อความหนักก็มีความสำคัญไม่น้อย โดยเฉพาะต้องการให้ผู้อ่านป้ายสามารถอ่านได้ที่ระยะทางเท่าไหร่นั้น ไปดูตางรางมาตรฐานกันครับ โดยค่าในตารางเป็นค่าเฉลี่ยโดยประมาณ และสมมติให้ขณะที่อ่าน ท้องฟ้าแจ่มใส หรือไม่มีหมอกควันมารบกวนการอ่าน หากมีหมอกควันไม่มากนัก ระยะการอ่านอาจจะลดลงประมาณ 10 - 15%

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

เลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความสว่างเหมาะกับป้ายของคุณ


ป้ายโฆษณาทุกวันนี้ ถ้าจะบ่งประเภทตามการใช้ไฟฟ้าจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ หนึ่ง ประเภทที่ไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าในป้ายโฆษณา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นป้ายสำหรับธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมในเวลากลางวันเป็นหลัก โดยอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ในการให้ความสว่าง และไม่เน้นความโดดเด่นมากหนัก นอกจากความต้องการสื่อข้อความหรือตัวสินค้าเป็นหลัก และ สอง ประเภทที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าในป้ายโฆษณา จะเป็นได้ทั้งธุรกิจที่ดำเนินในเวลากลางวัน ซึ่งส่วนใหญ่มักอยู่ภายในอาคาร และเวลาค่ำคืน วัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้สำหรับป้ายโฆษณาในบ้านเราก็มีหลายประเภท อาทิเช่น เมทัลฮาไลด์ ไอโอดีน ฟลูออเรสเซนต์ นีออนไลท์ แอลอีดี แอลซีดี ฯลฯ ต่อไปเราจะมาดูอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่มักนิยมมาใช้สำหรับป้ายโฆษณาในบ้านเรา

1 เมทัลฮาไลด์ เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างสีขาว เหมาะสำหรับป้ายบิลบอร์ดกลางแจ้งขนาดต่างๆ เพื่อต้องการให้ความสว่างกับป้ายในยามค่ำคืน โดยขนาดโคมมีตั้งแต่ 75 – 2000W อายุการใช้งานตั้งแต่ 5000 – 10000 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์ โคมเมทัลฮาไลด์ ค่อนข้างกินไฟมาก จึงแนะนำว่าควรใส่คาปาซิเตอร์ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่ากระแสไฟฟ้าและเพิ่มประสิท์ภาพของอุปกรณ์แล้ว ยังช่วยยึดอายุของอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในของโคมเมทัลฮาไลด์อีกด้วย


2 ฟลูออเรสเซนต์ เป็นอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่เหมาะสำหรับป้ายโฆษณาที่เป็นตู้ไฟทั้งอะคริลิค และไวนิล มีขนาดตั้งแต่ 4 – 58W นอกจากนี้สีของหลอดยังจำแนกเป็น วอร์มไวท์ คลูไวท์ เดย์ไลท์ และแสงขาวพิเศษ เหมาะสำหรับป้ายที่ติดตั้งภายในอาคารเวลากลางวัน หรือภายนอกในเวลาการคืนที่ไม่ต้องการลูกเล่น ในอายุการใช้งานประมาณ 5000 – 20000 ชั่วโมง ในกรณีใช้หลอดจำนวนมากควรใช้คาปาซิเตอร์เช่นเดียวกับเมทัลอาไลด์




3 นีออนไลท์ และโคลดคาโธด เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความสว่างชนิดที่อาศัยหม้อแปลงไฟจากไฟฟ้ากระแสสลับ 220 Volt เป็นไฟฟ้ากระแสสลับชนิดแรงดันสูง มีขนาดแรงดันตั้งแต่ 1000 – 15000 Volt เหมาะสำหรับป้ายที่ต้องการความสวยงามและสร้างการจดจำ สะดุดตาได้ดีในเวลากลางคืน วัสดุอุปกรณ์ที่เลือกใช้ต้องเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับนีออนไลท์เช่นกันเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ขนาดของหม้อแปลงไฟต้องมีขนาดที่เหมาะสมกับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ความยาว และสีของแก๊สภายใน ของหลอดนีออนไลท์ ซึ่งขนาดหลอดมีตั้งแต่ 6 - 25 ม.ม. โดยอายุการใช้งานประมาณ 35000 – 50000 ชั่วโมง จุดเด่นของนีออนไลท์คือการมีสีที่หลากหลาย สามารถดัดเป็นรูปทรงต่างๆตามต้องการ อีกทั้งให้แสงสว่างที่มีความต่อเนื่อง อุณหภูมิหลอดประมาณ 38 - 43 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับชนิดของแก๊สที่อยู่ภายในหลอด นอกจากนี้ยังประหยัดไฟมากกว่าฟลูออเรสเซนต์ถึง 60% ข้อแนะนำคือควรใช้สายไฟที่เป็นซิลิโคนซึ่งทนแรงดันไฟฟ้าได้สูงไม่น้อยกว่า 15000 Volt และสวมยางซิลิโคนบริเวณขั้วหลอดเพื่อป้องกันโคโรน่าเอ็ฟเฟ็ค (Corona Effect)

4 แอลอีดี เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความสว่างชนิดที่อาศัยหม้อแปลงไฟจากไฟฟ้ากระแสสลับ 220 Volt เป็นไฟฟ้ากระแสตรงชนิดแรงดันต่ำมีขนาดแรงดันตั้งแต่ 5 – 24 Volt อายุการใช้งานประมาณ 15000 – 42500 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของหลอดแอลอีดี นอกจากนี้แอลอีดีเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ค่อนข้างปลอดภัยสูง จุดเด่นของแอลอีดี คือสามารถผสมสีได้หลายหลากสี และทำให้กล่องไฟตัวอักษร (Channel letter) บางลง อีกทั้งประหยัดค่าไฟฟ้ามากกว่า หลอดฟลูออเรสเซนต์ถึง 85 – 95% แต่เนื่องจากแอลอีดีเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้พัฒนาในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมาจึงมีข้อเสียอยู่บ้าง เช่น ค่าใช้จ่ายในการลงทุนค่อนข้างสูง แสงสว่างไม่ต่อเนื่อง อีกทั้งไวต่ออุณหภูมิสูง ความชื้น และฝุ่น และอุณหภูมิหลอดยังสูงไม่น้อยกว่า 40 องศาเซลเซียส ข้อแนะนำคือควรใช้ชนิดที่สามารถกันน้ำได้และติดตั้งให้พ้นจากแสงแดด อีกทั้งมีบริเวณติดตั้งแอลอีดีและหม้อแปลงต้องมีการระบายอากาศได้สะดวก


นอกจากนี้ปัญหาที่พบสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดให้ความสว่างสำหรับป้ายโฆษณาที่กล่าวมาแล้วนั้น คือการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์สำหรับติดตั้งที่ไม่เหมาะสม ทั้งชนิดและขนาดของสายไฟ อุปกรณ์ควบคุมต่างๆเช่น เบรกเกอร์ นาฬิกา แมคเนติคคอนแทรคเตอร์ ฯลฯ